ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ภายในบ้านของคนยุคใหม่
ด้วยตู้เย็นminibar และตู้เย็นหน้ากระจก

เทคนิคการเลือกซื้อตู้เย็นมินิบาร์ ตู้เย็นหน้ากระจก ตู้แช่ไวน์

ตู้เย็นมินิบาร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ หลายคนได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่บ้านหรือคอนโดตัวเองมากขึ้น พอได้อยู่บ้านมากขึ้น ก็อยากปรับ อยากแต่งบ้านแต่งห้อง คอนโดกันเยอะแยะมากมาย

ในสถานการณ์โควิด ปี 2563 ข้อมูลจาก Priceza Insight พบว่า เป็นสินค้าประเภท สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 139% โดยมีเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เพิ่มขึ้น 55% (ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/news/876048)

นี่ยังไม่นับรวมพวกต้นไม้ยอดฮิต เครื่องครัว และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่พอจะแสดงให้เห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้นิยมการแต่งบ้านหรือคอนโดที่อยู่อาศัยของตัวเองกันมากขึ้น

ตู้เย็นมินิบาร์ ตู้เย็นหน้ากระจก หรือ (ตู้แช่ไวน์) ก็เช่นกัน ที่นอกจากการเลือกซื้อตามคุณสมบัติที่เหมาะแก่การใช้งานแล้ว เรื่องของดีไซน์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยังถูกนำมาพิจารณาเป็นหนึ่งปัจจัยในการซื้ออีกด้วย แม้ว่าหลายคนอาจมองว่า ไม่คุ้มค่าแก่การใช้งาน แถมยังมีคำกล่าวหานานาประการว่าตู้เย็นเล็กกินไฟเยอะ แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้ตู้เย็นมินิบาร์ กินไฟมาก ก็คือการใช้งานที่หนักจนเกินไปนั่นเอง

โดยส่วนใหญ่แล้ว ตู้เย็นมินิบาร์ จึงถูกนำมาใช้เก็บของชิ้นเล็กๆ ที่ต้องการเก็บให้พ้นความร้อนและแสงแดด เช่น สกินแคร์,น้ำหอม แม้กระทั่งเครื่องดื่มต่างๆ และไวน์ เป็นต้น ยิ่งถ้าได้ตู้เย็นหน้ากระจกที่เหมาะสุดๆ กับการเป็นตู้แช่ไวน์ เพราะนอกจากจะสามารถควบคุมอุณหภูมิเพื่อรักษาคุณภาพของไวน์ได้แล้ว ยังสามารถเป็นตู้โชว์คอลเล็กชั่นไวน์และเครื่องดื่มของคุณได้อีกด้วย

และในบทความนี้ Sonar Shopping.com จึงมีเทคนิคการเลือกซื้อ ตู้เย็นมินิบาร์ ตู้เย็นหน้ากระจก และ (ตู้แช่ไวน์) ที่รับรองว่าเป็นเทคนิคที่ช่วยให้คุณเลือกซื้อตู้เย็นขนาดเล็กได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และคุ้มค่ากับการใช้งานได้แน่นอน

ตู้เย็นมินิบาร์

เทคนิคการเลือกซื้อตู้เย็นมินิบาร์ ตู้เย็นหน้ากระจก และ ตู้แช่ไวน์

    1. เลือกคุณสมบัติของตู้เย็นมินิบาร์ให้ตรงกับการใช้งาน : เช่น ต้องการจะนำไปใช้แช่เครื่องดื่ม ผลไม้ ขนมหรือของทานเล่น ก็อาจจะต้องเลือกความจุของตู้เย็นที่เยอะมากหน่อย แต่ถ้าใช้แช่ครีม สกินแคร์หรือน้ำหอม ที่มีขนาดไม่ใหญ่และจำนวนไม่เยอะมาก ก็เลือกความจุที่น้อยลงมาได้ เพื่อจะได้ประหยัดค่าไฟฟ้าโดยทั่วไปแล้วความจุของตู้เย็นมินิบาร์จะมีอยู่ตั้งแต่ขนาด 1.5 – 3.5 คิว ซึ่งหากคุณต้องการใช้สำหรับแช่เครื่องดื่ม ผลไม้ ขนมหรือของทานเล่น ความจุที่ควรเลือก ก็คือ 2.5-3.5 คิว แต่ถ้าคุณต้องการจะนำมาใช้แช่ครีม สกินแคร์หรือน้ำหอม ก็อาจจะเลือกความจุที่ 1.5 คิวแต่ไม่ต้องถึง 2 คิว เป็นต้น
    2. เลือกระบบทำความเย็นให้เหมาะกับสถานที่ที่คุณจะใช้วาง : โดยทั่วไปแล้วระบบทำความของตู้แช่ไวน์ มีอยู่ในท้องตลาดอยู่ 2 ระบบ คือ
      • ระบบคอมเพรสเซอร์ : ซึ่งถือว่าเป็นระบบเก่าแก่และเป็นระบบที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ระบบทำความเย็นแบบคอมเพรสเซอร์นี้ จะทำงานโดยการปั๊มสารทำความเย็นผ่านขดลวด จากนั้นสารทำความเย็นจะดูดซับความร้อนจากอากาศภายในตู้แช่ไวน์และปล่อยออกไปในอากาศ นอกตู้เย็นหน้ากระจก นั่นเอง

        ข้อเสียของระบบนี้คือ
        หากเลือกคอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ จะมีเสียงรบกวนเวลาเปิดเครื่อง หากคุณจะนำตู้แช่ไวน์ไปใช้งานในห้องนอน หรือคอนโดขนาดเล็ก อาจจะต้องตรวจสอบระดับเดซิเบลของเสียงที่เหมาะสม ซึ่งไม่ควรจะมีความดังเกิน 30 เดซิเบล

        ส่วนข้อดี
        คือใช้พลังงานงานน้อยกว่า และหากใครกังวลเรื่องการสั่นสะเทือนจะส่งผลต่อคุณภาพของไวน์ ก็สามารถเลือกตู้แช่ไวน์ที่มีฟังก์ชันป้องกันการสั่นสะเทือนได้เช่นกัน
      • ระบบเทอร์โมอิเล็กทริก : ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาตอบโจทย์ของนักสะสมไวน์ที่ไม่ปลื้มเสียงดัง เพราะระบบเทอร์โมอิเล็กทริกนี้จะทำงานโดยการบังคับไฟฟ้าผ่านแผ่นโลหะขนาดเล็กมาก ที่เรียกว่าปั๊มความร้อน ไม่มีการสั่นสะเทือน ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบไวน์ และนักสะสมไวน์ที่ต้องการบ่มไวน์ชั้นดีไว้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องตะกอนในขวด แต่ในประเทศไทยระบบการทำความเย็นแบบเทอร์โมอิเล็กทริกมีน้อย ก็อาจจะหาระบบนี้ได้ยากหน่อย
    3. เลือกที่มีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน : หลายคนไม่กล้าชื้อตู้เย็น minibar หรือ ตู้เย็นหน้ากระจก มาใช้ ก็เพราะเชื้อว่าตู่เย็นขนาดเล็กจะกินไฟมาก แต่ 3 สิ่งต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าตู้เย็นเล็กจะไม่สร้างภาระค่าไฟให้คุณมากขึ้นแน่นอน
      • ฉลากเบอร์ 5 จาก กฟผ. : อยากที่ทราบกันดีกว่าฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 นั้น เป็นมาตราฐานอย่างแรกที่คุณจะมั่นใจได้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นจะช่วยคุณประหยัดค่าไฟฟ้าได้
        “รู้หรือไม่?…ฉลากประหยัดไฟแต่ละเบอร์ ประหยัดค่าไฟฟ้าได้เท่าไหร่บ้างต่อปี?”
        ฉลากเบอร์ 3 : กินไฟ 332 หน่วย/ปี เสียค่าไฟประมาณ 840 บาท/ปี
        ฉลากเบอร์ 4 : กินไฟ 262 หน่วย/ปี เสียค่าไฟประมาณ 644 บาท/ปี
        ฉลากเบอร์ 5 : กินไฟ 220 หน่วย/ปี เสียค่าไฟประมาณ 573 บาท/ปี
      • เทอร์โมอิเล็กทริกคูลลิ่ง : ระบบนี้ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าระบบคอมเพรสเซอร์
      • กระจกนิรภัย 3 ชั้น : ตู้เย็นหน้ากระจกมีไว้เพื่ออวดคอลเล็กชั่นไวน์ของคุณ การเลือกกระจกนิรภัย 3 ชั้น จะช่วยให้รักษาระดับเย็นของตู้แช่ไวน์และยังช่วยให้เครื่องทำความเย็น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้เพิ่มขึ้น
    4.  พิจารณาคุณสมบัติของตู้เย็นมินิบาร์ minibar พิเศษเพิ่มเติม : นอกจากการพิจารณาคุณสมบัติพื้นฐานเทียบกับความชอบและลักษณะการใช้งาน เช่น ความกว้างของชั้นวาง ที่สามารถถอดเข้าออกและปรับขนาดตามความต้องการได้ หรือชั้นวางข้างประตูต้องกว้างมากพอให้สามารถใส่ขวดน้ำ กระป๋องเครื่องดื่มได้ เป็นต้นและการพิจารณาถึงฟีเจอร์หรือคุณสมบัติพิเศษของตู้เย็น minibar ที่มีเสริมเข้ามาในละรุ่นหรือแต่ละยี่ห้อนั้น ก็อาจจะช่วยให้ส่งเสริมการใช้งานที่ถูกใจของคุณได้ เช่น
      • ระบบ Dual-cooling system : คือระบบทำความเย็นแบบคู่ ที่ช่องแช่แข็งจะกระจายลมเย็นแยกจากช่องแช่เย็นธรรมดา เพื่อการใช้งานที่แตกต่างกันของสิ่งที่จะแช่ได้อย่างเหมาะสม พูดง่ายๆ ก็คือแบบตู้เย็นบ้านไซส์ปกติที่มีช่องแช่แข็งแยกจากช่องแช่เย็นธรรมดา นั่นเอง
      • ระบบAir filtration : คือระบบกรองอากาศแบบคาร์บอนในตัว เพื่อช่วยลดกลิ่นอับในตู้เย็น
      • แผงควบคุมการทำงาน : สำหรับการตั้งค่าอุณหภูมิ ล็อกความเย็น เช็กตัวกรองและระดับน้ำต่างๆ ในเครื่อง เป็นต้น
    5. สำหรับตู้แช่ไวน์ ต้องเลือกที่มีโซนทำความเย็นให้เหมาะสมกับไวน์ที่เก็บ : โซนทำความเย็นของ โดยทั่วไปมี 2 แบบคือ โซนอุณหภูมิเดี่ยวและโซนอุณหภูมิคู่ ซึ่งโซนอุณหภูมิคู่ ก็อย่างที่ชื่อบอกคือ คุณสามารถตั้งค่าได้ทั้ง 2 ส่วนโดยควบคุมอุณหภูมิที่ต่างกันได้ ระบบโซนคู่นี้เหมาะสำหรับนักสะสมไวน์ ที่ต้องการสะสมและเก็บรักษาทั้ง ไวน์แดงและไวน์ขาว ที่มีระดับอุณหภูมิการเก็บรักษาที่ไม่เท่ากันได้นั่นเอง
    6. เลือกที่มีระบบควบคุมความชื้น : อย่างที่ทราบดีกว่า การเก็บรักษาไวน์ให้คงคุณภาพ และรสชาติที่ดีได้นั้น เรื่องอุณหภูมิคือเรื่องสำคัญ การเก็บไวน์ไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำเกินไปอาจส่งผลให้จุกไม้ก๊อกภายนอกแห้งชื้น แต่ภายในขวดอาจตรงกันข้ามคือเกิดความชื้อและแบคทีเรีย เมื่อมาสัมผัสกับไวน์ ก็จะทำให้คุณภาพและรสชาติของไวน์เสียไปฉะนั้น การเลือกตู้แช่ไวน์หรือตู้เย็นหน้ากระจกที่มีระบบควบคุมความชื้นได้ ก็จะช่วยกำจัดปัญหาที่เรากล่าวมาให้หมดไป ซึ่งฟังก์ชั่นการควบคุมความชื้นนี้ควรจะปรับให้อยู่ประมาณ60 – 70%Tips : อุณหภูมิที่ช่วยคงรสชาติที่ดีที่สุดในการเสิร์ฟไวน์แต่ละประเภท
      • ไวน์แดง : รสชาติที่ดีที่สุดของไวน์แดง จะเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้อง จะอยู่ที่ 15 – 18 องศาเซลเซส
      • ไวน์ขาว : หลายคนมักชื่นชอบรสชาติของไวน์ขาวมากกว่าไวน์แดง เพราะมีรสชาติที่ดีกว่า และต้องเสิร์ฟในอุณหภูมิที่เย็นกว่านิดหน่อย ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะแก่การเสิร์ฟจะอยู่ที่ 10 – 15 องศาเซลเซส
      • Sparkling Wines : แน่นอนว่าเครื่องดื่มที่มีความซ่า ไม่ว่าจะเป็นแชมเปญ หรือสปาร์กกิ้งไวน์ จะต้องเสิร์ฟในอุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็นจัด เพื่อเพิ่มความสดชื่น โดยทั่วไปแล้วอุณหภูมิประมาณ 5 องศาเซลเซส คืออุณหภูมิที่จะทำให้สปาร์กกิ้งไวน์รสชาติดีที่สุด

ตู้แช่ไวน์, ตู้เย็นหน้ากระจก และ ตู้เย็นมินิบาร์ minibar ของ Sonar ดีอย่างไร?

ตู้เย็นมินิบาร์

✔️ ตู้เย็นมินิบาร์น้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายสะดวก
✔️ ประหยัดไฟมากกว่าตู้เย็นทั่วไป
✔️ ความจุ 90 ลิตร ความจุเยอะจุใจ
✔️ มีระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง
✔️ คอมเพรสเซอร์ทำความเงียบ ลดปัญหาเสียงรบกวน
✔️ ระบบหมุนเวียนอากาศภายใน เพื่อให้ความเย็นกระจายทั่วถึงทุกจุด เพื่อรักษาความสดใหม่ให้กับของที่แช่อยู่ภายในตัวเครื่อง
✔️ ประตูกระจกนิรภัย กระจกสูญญากาศ 2 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามายังภายในตัวเครื่อง
แต่ถ้าแช่ของในตู้เย็นไปจำนวนนึง ความเย็นก็จะกระจาย อาจจะวัดได้ไม่ถึงจุดที่ต่ำสุด
✔️ การทำงานเงียบประหยัดพลังงาน
✔️ กระจกไม่ขึ้นฝ้าเมื่ออุณหภูมิเย็นจัด

และสำหรับใครกำลังมองหาตู้แช่ไวน์, ตู้เย็นหน้ากระจก แตกต่างจาก ตู้เย็นminibar สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อ หรือดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
https://www.sonarshopping.com/category/เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน/ตู้เย็น/
โทร : 02-880-3676, 06-3213-4022
Line: @Sonarbrand
อีเมล์: info@sonarshopping.com

Avatar Mobile
Main Menu x
X